ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ปรากฏการณ์

๓ ต.ค. ๒๕๕๒

 

ปรากฏการณ์

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๒

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เมื่อวานคนเขามากันเยอะ บอกว่าเขาดูจิตทั้งนั้น แล้วพอมาฟังเทศน์เรานะ ฟังซีดีเรา ไอ้ซีดีดูจิตโยนทิ้งหมดเลย สะเทือน สะเทือนพอสมควร สะเทือนมาก เขาบอกเขาดูจิตกันมาเก่า แล้วพอได้ฟังซีดีเราไง แล้วก็มา เมื่อวานมาเป็น ๑๐ เลย แล้ว ชุด แต่มีชุดหนึ่ง มันมีผู้หญิงผู้ชาย เขาภาวนาด้วย เขามาเถียงอยู่ มันแบบมาลองของเราด้วยนะ แต่ยังติดดูจิตอยู่ล่ะ เดี๋ยวจะพูดให้ฟัง ยังเถียงอยู่ เห็นสภาพแบบนี้แล้วสะเทือน สะเทือนพอสมควร ถ้าไม่สะเทือนเขาไม่ออกตัวขนาดนี้ ไปออกตัวเห็นไหม แบบเอาคนอื่นประกันๆ

แล้วเมื่อวานเขาก็มา เราบอกว่า ทำไมไม่เอาตัวเองประกัน ธรรมะต้องเอาตัวเองประกัน เอาคนอื่นประกันไม่ได้ ต้องเอาตัวเองเป็นประกัน ถ้ายังเอาคนอื่นประกันอยู่ แสดงว่าไม่แน่ใจในตัวเอง ไม่แน่ใจมาก เพราะยิ่งเราทิ่มเข้าไปนี่มันจะเขวหมดเลย หวั่นไหวหมด เขาบอกว่า เขาภาวนาอย่างเรานี่แหละ แต่เพราะว่าสิ่งทั่วไปใช่ไหม แล้วคนมันเห็นง่ายมันก็อยากจะไปทางนั้น นี้พอไปมันมีผู้ชายมาด้วย ผู้ชายมา คน ผู้ชายมาก็บอกว่าไปกับเขามาเยอะแหละ แล้วเราก็อธิบายให้ฟังไง

เขาบอกว่าเขารู้วาระจิตต่างๆ บอกมันเป็นไปไม่ได้หรอก เราอธิบายเรื่องจิต บอกความร้อน เราจับความร้อน คือความร้อนใช่ไหม ความร้อนมันคลายตัวอยู่แล้ว นี่เหมือนกันบอกคนนี้คิด คนนี้คิด มันก็คิดอยู่แล้วโดยธรรมชาติของมัน มันธรรมชาติของจิตมันคิดอยู่แล้ว ไม่มีใครไม่คิดหรอก เพราะธรรมชาติของมันเป็นสภาวะแบบนั้น แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ เราคิดเรื่องอะไร เขาก็ต้องบอกว่าเราคิดเรื่องอะไรสิ เราคิดเรื่องอะไร เราผิดอย่างไรเห็นไหม

อย่างเช่นหลวงปู่มั่น เวลาท่านรู้ของท่าน คิดอย่างนี้มันไม่ถูก ดูสิ เวลาท่านจะเทศน์เห็นไหม ท่านบอกเลยช่วยจับขโมยให้ผมที ให้หลวงปู่ชอบกับหลวงปู่ฝั้นนะช่วยจับขโมยให้ที เพราะท่านเทศน์อยู่ จับขโมยเห็นไหม ความคิดเป็นขโมย เพราะครูบาอาจารย์เทศน์อย่างนี้ คิดออกนอกลู่นอกทางไป ท่านก็พยายามตบให้เข้าทาง เห็นไหม ก็บอกช่วยจับขโมยให้ที จับขโมย แต่นี้มันไม่ได้จับขโมยนี้ แต่นี่มันบอกว่าความร้อน จิตเป็นความร้อนเพราะพลังงานเฉยๆ มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราบอกว่าผิด

เราบอกเลยว่าผิด แล้วเวลาพอผิดปั๊บนี่อย่างที่ว่าเห็นไหม เขาบอกเลยจะเชื่ออะไรกับไอ้พระสมมุติองค์นั้น ทำไมไม่เชื่อพระพุทธเจ้า นั่นนะเป็นธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะพระพุทธเจ้า แต่ไอ้พระองค์นั้นไม่รู้ เวลาบอกว่าอย่าไปเชื่อพระองค์นี้นะ แต่เขาลืมไป เวลาเขาไปอ้างพระองค์อื่น เขาก็พระองค์นั้นเหมือนกัน เวลาบอกพระองค์นั้นบอกอย่าไปเชื่อมัน แต่เวลาอ้างพระองค์อื่นมาประกันเขา แล้วพระองค์อื่นเป็นพระองค์นั้นหรือเปล่า ก็พระสมมุติเหมือนกัน

เวลาบอกองค์นี้เป็นพระสมมุตินะ แต่องค์นี้กลับอ้างไว้ เอามาการันตีเห็นไหม เราจะบอกว่าคนมันสับสน จนมันไม่มีทางออก ไม่มีทางออก เวลาผู้ที่ติเตียนเราก็บอกว่าพระสมมุติ แล้วก็ไปเอาพระอีกองค์หนึ่งมาชมเรา เอ้า ไม่สมมุติหรือ มันก็เท่ากัน มันก็มีค่าเท่ากันใช่ไหม พระองค์นี้บอกพระสมมุติ ติเตียนเรา แล้วก็ไปเอาพระสมมุติอีกองค์หนึ่งมาการันตีเรา ก็พระสมมุติด้วยกัน แล้วมันจะมีค่าอะไรขึ้นมา ก็มันไม่มีค่าเหมือนกัน แต่ตัวเองไม่ได้คิดตรงนั้น ถ้าคิดถึงแล้วนะ ธรรมะพระพุทธเจ้าถูกต้อง เวลาพูดถึงธรรมะพระพุทธเจ้า แต่ความจริงในใจมันเป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตังอันนี้มันต้องมีจริง สิ่งที่มีจริง

ถ้าสิ่งไม่มีจริงมันไขว้เขว พอไขว้เขวขึ้นมา เพราะสิ่งที่พูดออกมามันเป็นไปไม่ได้ เช่น ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติด้วยกันเห็นไหม เรามาที่นี่ เราดื่มน้ำด้วยกัน น้ำในวัดมันมีอยู่เท่าไหร่ใช่ไหม อย่างเช่นในคูลเล่อร์ ในแท็งก์ เราใช้ร่วมกันเห็นไหม เวลากลางวัน น้ำนี่มันมีความร้อน ตอนเช้าน้ำมันจะมีความเย็นเห็นไหม เพราะมันได้อากาศตอนกลางคืนเห็นไหม เราใช้ด้วยกันเราจะรู้ แต่เวลาเราเอาเคลื่อนไหวไปไหนมาเห็นไหม เราแบ่งมาคือเราใส่ภาชนะมา มันจะมีอุณหภูมิแตกต่าง

นี่เหมือนกัน จิตเวลาปฏิบัติไป บอกว่าคำพูดมันอยู่ที่ระดับไง ระดับว่าน้ำเป็นกลางวันหรือน้ำเป็นกลางคืน คำพูดมันจะผิดกันอย่างนี้ได้ ถ้าน้ำกลางคืนอุณหภูมิมันเย็น น้ำนี่มีความเย็น อุณหภูมิกลางวันนี่มันตากแดด น้ำมันจะร้อน เห็นไหมในการปฏิบัติ ในการปฏิบัติเริ่มต้นจากพื้นฐานมา คำพูดที่มันเปลี่ยน มันแตกต่างกันตรงนี้ได้ เพราะอุณหภูมิระหว่างกลางคืน กับกลางวันมันแตกต่างกัน จิตของเรานี่เป็นสมาธิ ไม่เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ไม่เป็นปัญญา มันแตกต่างกันอย่างนี้ แตกต่างกันได้ มันแตกต่างอย่างนี้ แตกต่างได้ใช่ไหม แต่ถ้าบอกว่าพูดถึงไม่ได้ พูดอย่างนี้เลย ไปพูดแบบว่าเขียนคำว่าน้ำเห็นไหม เป็นตัวอักษร น.หนู ไม้โท น้ำ พอน้ำขึ้นมากับน้ำจริงๆ มันต่างกัน นี่ก็เหมือนกันคำว่าธรรมะพระพุทธเจ้าละเอียด  มันไม่ละเอียดหรอก

นี่อีกชุดหนึ่งมานี่น่าสนใจ เขามาด้วยกันนั่นแหละ ก็บอกว่าเวลาปฏิบัติมา หลวงพ่อบอกว่าจิตดับไม่ถูก เขาว่าเราเลย ว่าเราพูดเทศน์ไปไม่ถูก แต่เขาไปพิจารณาของเขา เขาบอกว่า เวลาความคิดมันเกิดขึ้น ความคิดเป็นปรากฏการณ์ เขาบอกความคิดเป็นปรากฏการณ์ พอปรากฏการณ์เราตั้งสติ ปรากฏการณ์มันจะหายไปเอง ความคิดเป็นปรากฏการณ์เห็นไหม เขาบอกความคิดเราเป็นปฏิกิริยา เป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติ ความคิดเรา เวลามันเกิดขึ้นมาสติก็ทันไง แล้วปรากฏการณ์นี่มันก็หายไป มันก็จางไปมันก็เท่านั้น เขาว่ามันก็เท่านั้น แล้วหลวงพ่อบอกจิตดับ จิตดับอย่างไร

เราบอกโยมพูดถูก โยมพูดถูก แต่โยมยังปฏิบัติยังไม่ได้ถึงจุดนั้น โยมถึงพูดอย่างนี้ไง โยมต้องปฏิบัติไปอีก อย่างเช่นความคิดเป็นปรากฏการณ์นี่ถูกต้อง เพราะความคิดมันเกิดดับ ความคิดมันไม่ใช่จิต ความคิดมันเกิดจากจิตนะ ปรากฏการณ์มันเกิดขึ้นมา ความคิดเราเกิดขึ้นมาใช่ไหม เราจะมีสติทันหรือไม่ทันก็แล้วแต่ ความคิดมันจะจางไป หรือปรากฏการณ์มันก็จะหายไป ถ้าปรากฏการณ์ไม่หายไปนะ พวกเรานี่ทุกข์ตายเลย เวลาคิดเรื่องอะไรที่มันช้ำใจนะ มันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตเลย อะไรที่มันเจ็บช้ำน้ำใจ แล้วทำไมมันหายไปล่ะเห็นไหม ปรากฏการณ์นี่ ปรากฏการณ์มันจางไป แต่ถ้าปรากฏการณ์ไม่จางไปนะ อยู่กันไม่ได้หรอก ตาย ตายน่าดูเลย มันเจ็บช้ำน้ำใจตาย แต่มันก็เจ็บช้ำน้ำใจตอนที่มันยังสดๆ ใหม่ๆ พอมันจางไปมันก็ข้ามไป น้อยไป

แต่ถ้าเราคิดซ้ำขึ้นมา มันก็เจ็บช้ำน้ำใจอีก นี่เป็นปรากฏการณ์ แต่ถ้าสติเราตามไป เราตามความคิดนี่ไป เราตามความคิดไป เราตามความคิดไปด้วยปัญญาของเรา ความคิดนี่ เราเห็นโทษของมัน พอเห็นโทษของมันมันจะปล่อย คำว่าปล่อย เราถึงบอกว่าให้ตามไปอีก ให้ตามไปอีก ใช่ ตอนนี้เป็นปรากฏการณ์ เราก็เปรียบเทียบเลยเห็นไหม ผู้ที่เป็นปัญญาชน เราเป็นปัญญาชน เราเป็นคนที่มีปัญญา พวกเรา จริงๆ เรามีปัญญานี้เป็นสิ่งที่ดีนะ เป็นสิ่งที่เราเอามาเพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตของเรา เราเข้าใจเรื่องวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเราจะไม่ตื่นตกใจ เราจะเป็นคนมั่นคงเพราะเราเข้าใจ เราเข้าใจเรื่องปรากฏการณ์ทั้งหมด เราก็จะไม่ตื่น คนไม่ตื่นมันคนเข้าใจหมด มันดีตรงนี้ มันดี

แต่ถ้าเราบรีฟมัน มันก็ผิดอีกแหละ มันไปผิดตรงที่เราไปยึดมันไง เพราะเราไปศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าใช่ไหม พอศึกษาพระพุทธเจ้า สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ เห็นปรากฏการณ์แล้วเป็นความจริง แล้วก็อย่างนี่ก็ดูปรากฏการณ์สิ ฝนตกแดดออก มึงได้อะไร ที่เราพูดอยู่ทุกวันก็ตรงนี้ไง ตรงนี้ฝนตกแดดออกนี่ ฤดูกาลมันเป็นธรรมชาติ แล้วเราได้อะไร นี่ธรรมชาติภายนอกไง นี่ธรรมชาติภายในหัวใจของเรา ธรรมชาติในหัวใจ ปรากฏการณ์ความคิดมันมีใช่ไหม มันก็เหมือนกับฟ้าผ่า ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง เอ็งเห็นไหม ฝนตกนี่ฟ้าแลบแพ้บๆ ฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ แล้วเราได้อะไร เราก็ยืนดูอยู่ ตกใจไง โอ๊ย ฟ้าผ่าทีก็ตกใจที

นี่ก็เหมือนกัน ความคิดมันเกิดดับทีหนึ่งเห็นไหม เราก็สะเทือนที แล้วปรากฏการณ์มันหายไปเราได้อะไร เพราะฟ้าร้องเป็นฟ้าร้องใช่ไหม ตัวเราเป็นตัวเราใช่ไหม จิตเป็นจิต ความคิดเป็นความคิด ปรากฏการณ์นี่มันเป็นฟ้าแลบ ฟ้าร้อง มันเป็นปฏิกิริยาของพลังงานในใจ พลังงานในหัวใจ มันมีปฏิกิริยาของมัน ธรรมชาติ สัญชาตญาณ เราเน้นย้ำประจำเลย นี่สัญชาตญาณ ความเป็นไปธรรมชาติของมันเป็นอย่างนี้ แล้วมันมีของมันอยู่อย่างนี้ แล้วเราก็ไปดูไปทำความเข้าใจมัน แล้วเข้าใจมันเราได้อะไร นี่ไงก็มันเป็นปรากฏการณ์

แล้วหลวงพ่อบอกจิตดับมันจะดับได้อย่างไร เราจะบอกว่า เขายังไม่เป็นสมาธิไง แต่ถ้าเขาเป็นสมาธินะ เขาจะเห็นเลยว่าเรา เรา ฟ้าแลบ ฟ้าร้องนี้เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่เราเป็นคนยืนดูเราเข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติเห็นไหม เราเข้าใจในปรากฏการณ์ธรรมชาติ เราไม่ตื่นเต้น คนโบราณฟ้าแลบฟ้าร้อง โอ่ เจงกิสข่าน ถ้าฟ้าแลบ ฟ้าร้อง เขาเช็ค เอาลูกน้องมาฆ่าเลย หาว่าไปซักเสื้อซักผ้าในน้ำ เขาเชื่อของเขาว่าถ้าไปซักผ้าในน้ำนะ ซักผ้าสกปรกนี่เขาจะซักน้ำ เจงกิสข่านเขามีกฎระเบียบของชนเผ่าของเขา เป็นความเชื่อเริ่มต้นตอนหลังเขาแก้ไข ถ้าใครเอาเสื้อผ้าสกปรกไปซักในแหล่งน้ำ เทวดา แบบธรรมชาติจะไม่พอใจ จะเกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ถ้าฟ้าแลบ ฟ้าร้องเขาถือว่าเป็นเสนียดจัญไรของชุมชนของเขา ถ้าจับได้ว่าใครเอาเสื้อผ้าไปซัก สั่งตัดหัวเลย นี่ด้วยความเชื่อของเขาไง

นี่ปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง เราจะตื่นเต้นไปกับเขามากเลย แต่พอเรามาเข้าใจเรื่องกฎธรรมชาติเห็นไหม โดยธรรมชาติของมันเป็นเรื่องธรรมดา ปรากฏการณ์ของใจ ปรากฏการณ์ของใจ ความคิดมันปรากฏการณ์ของใจ แล้วมันเห็นการเกิดดับนะ มันก็เป็นปรากฏการณ์ เราก็เทียบว่าเป็นธรรมชาติก็จบไง แล้วมึงได้อะไร เราบอกว่าเอ็งต้องทำต่อไป เอ็งใช้สติปัญญาตามความคิดไป ปรากฏการณ์ที่มันเกิดดับในธรรมชาตินะ ปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าร้องในธรรมชาติ มันเป็นเรื่องของอากาศนะ มันเป็นเรื่องของความชื้น เป็นเรื่องของประจุไฟฟ้า เป็นเรื่องของธรรมชาตินะ

แต่ถ้าปรากฏการณ์ของใจล่ะ มันเกิดมาจากไหน ความคิดมันเกิดมาจากไหน ความคิดมันเกิดมาจากไหน ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ประจุไฟฟ้าต่างๆ ความชื้นต่างๆ บนอากาศ ธรรมชาติของมัน มันเคลื่อนไหว มันสันดาปกัน มันถึงเกิดปรากฏการณ์ไฟฟ้าสถิตของมัน แล้วปรากฏการณ์ของความคิด ความคิดเห็นไหม ดูสิ นั่งเป็นหลายๆ ๑๐ คน ความคิดแต่ละความคิด จักรวาลของแต่ละจักรวาล ความคิดของแต่ละดวงจิตมันไม่เหมือนกัน แล้วความคิดที่มันเกิดมันเกิดมาจากจิตดวงนั้นปรากฏการณ์ของจิต มันสำคัญมันมหัศจรรย์กว่าปรากฏการณ์ของธรรมชาติอีก ปรากฏการณ์ของความคิดนี้ เขาบอกว่าธรรมชาติของมัน มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ

หลวงพ่อว่าจิตมันจะดับได้อย่างไร ผมดูแล้ว มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ มันก็หายไปเฉยๆ เราบอก เออ เราชมเขานะ เราชมเขาว่าว่าเขาเริ่มได้ธรรม เขาเริ่มได้ธรรม เขาเริ่มได้สัมผัสแล้ว อย่างพวกเราความคิดยังไม่รู้จักความคิดเลย ทุกข์เกือบตาย น้ำตาไหลพรากเลย ไม่รู้ความคิดอยู่ไหนแต่เจ็บฉิบหายเลย ความคิดอยู่ไหนไม่รู้แต่เจ็บน่าดู น้ำตาไหลพรากๆ เลย แต่เขาเห็นปรากฏการณ์ของเขาแล้ว พอเห็นปรากฏการณ์ของมันแล้ว แล้วเขาบอกมันไม่มีอะไร มันหายไป โดยถ้าคนปฏิบัติใหม่ๆ ไม่เข้าใจนะ ก็คิดว่าธรรมะเป็นอย่างนี้ ธรรมะเป็นอย่างนี้ก็ว่างไง ก็ปล่อยไง นี่ไม่ใช่นะ

เพราะเมื่อวานเราพูดกับเขา พอเขามากันเยอะใช่ไหม เราบอกว่าแนวทางปฏิบัติทั้งหมดจะเป็นวิธีการแนวทางใดก็แล้วแต่ ผลของมันเป็นสมถะทั้งหมด ผลของมันคือสมาธิทั้งหมดไง แต่ แต่มีมิจฉาสมาธิกับสัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิกับสัมมาสมาธิ ผลของมันคือการปล่อยวางหมด ผลของมันคือความว่างหมด แต่ความว่างแบบสัมมาสมาธิ แล้วเขาพูดถึงฌานด้วย เมื่อวานเราใส่เละเลย เขาบอกว่ามันจะเป็นฌาน ๒ บอกไอ้ฌานอย่ามาพูดกันนะ ฌานอย่ามาพูดกัน เพราะคำว่าฌานกับสมาธิ เขาเอามาบวกกัน แล้วก็มาเหยียบย่ำพระป่าอยู่ ว่าพระป่า ฌาน ฌาน ไม่ใช่

พระป่าเอาสัมมาสมาธิ กำหนดพุทโธๆ ปัญญาอบรมสมาธิ เอาสมาธิไม่ใช่เอาฌาน ไม่ใช่เอาฌาน ฉะนั้นพอถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิ มันจะเป็นสัมมาสมาธิ คำว่าสัมมาสมาธิ มันปรากฏการณ์ของจิตที่เราเป็นกันอยู่นี่ มันเป็นธรรมชาติของมัน ความคิดมันเกิดจากจิต ความคิดมันเกิดจากจิต ถ้าไม่มีจิตไม่มีความคิด มันถึงสำคัญตรงนี้ไง

สำคัญที่เห็นแบบว่า แกนของโลก จักรวาล จิต เป็นผลของวัฏฏะ มันหมุนไปในวัฏฏะมันเกิดในภพในชาติต่างๆ พอในภพในชาติต่างๆมันก็เหมือนกับฝุ่นเศษฝุ่น มันเป็นส่วนหนึ่งของโลก ความคิดเห็นไหม ความคิด ตัวจิตเห็นไหม ตัวจิตตัวภพนี่ ตัวจิตตัวภพมันเป็นฐาน มันเป็นฐานมันถึงปรากฏการณ์ความคิดที่ว่า ธรรมชาติที่เป็นปรากฏการณ์ ถ้าไม่มีตัวพลังงานตัวนี้ ปรากฏการณ์มันเกิดได้อย่างไร ปรากฏการณ์ความคิดมันเกิดได้อย่างไร ความคิดมันเกิดมาจากไหน ความคิดมันเกิดมาจากไหน นั่งกันอยู่นี่ความคิดแตกต่างกันในแต่ละความคิด

แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า มันทวนกระแสเข้ามา ทวนกระแสตรงไหน ตรงจิตนี้ไง ตรงจิตผู้ที่เริ่มต้นนี้ไง ผู้ที่เริ่มต้นจะประพฤติปฏิบัติ เริ่มต้นที่ตัวจิต พอตัวจิตมันตั้งสติปั๊บ ตั้งสติมันตามไปเพราะมันเห็นไง มันเห็นปรากฏการณ์ คำว่าเห็นปรากฏการณ์นี้ เขาเห็นความคิดเขาแล้วนะ แต่มันเพิ่งเริ่มต้น มันเพิ่งเริ่มต้น พอเพิ่งเริ่มต้นปั๊บพอเราเห็นปรากฏการณ์แล้ว มันก็ที่ว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติก็ไม่มีอะไรเลย ก็เลยแบบว่าขี้ลอยน้ำไง ก็เลยปล่อย ปล่อยไปตามปกติธรรมดาไง ไม่ได้ ไม่ใช่ นี้เพียงแต่ว่าคำว่าเริ่มต้น เริ่มต้นคือเพียงแต่ว่าเราตั้งสติเฉยๆ เราก็เห็นอย่างนี้ใช่ไหม แล้วตั้งสติตามไป ตั้งสติตามไป มันจะเห็นปรากฏการณ์นี้บ่อยครั้งเข้า

เหมือนทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์เขาจะต้องทดลองใช่ไหม วิทยาศาสตร์เขาต้องทดลองว่า เราจะออกจากแรงโน้มถ่วง เราจะไปดาวอังคาร มันจะออกไปอย่างไร นี่ก็เหมือนกันถ้าเราตามไป เราตามความคิดไป มันก็เป็นอารมณ์หนึ่ง ความรู้สึกหนึ่ง ก็เป็นการทดสอบ เราจะทดสอบความคิดหนหนึ่งมันก็ดับ พอดับ พอสติมันทันเรื่อยๆ สติมันทันเรื่อยๆ มันเกิดที่ไหน มันดับที่ไหน แล้วมันเหลืออะไร นี่สมาธิเกิดตรงนี้ มันเหลืออะไร แต่ตอนนี้เขาเห็นปรากฏการณ์มัน มันมีปรากฏการณ์เกิดขึ้น ปรากฏการณ์มันไปแล้วมันก็จบไง แล้วมันมีอะไรต่อไป มันมีอะไรต่อไป มันไม่มีอะไรต่อไป

แต่ถ้าสติตามไป สติตามไป ตามความคิดไปใช่ไหม ปรากฏการณ์เกิดอีก แล้วดับอีก เกิดอีกดับอีก เกิดอีกดับอีก ทีนี้การเกิดอีกและดับอีก มันเกิดที่ไหน แล้วมันดับแล้วมันเหลืออะไร สิ่งที่เหลือคือตัวจิตไง แล้วมันเร็วมากเดี๋ยวก็คิดอีก ดับอีก คิดอีกเห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วบอกโยมทำไป โยมต้องทำไปอีก แล้วที่บอกว่ามันไม่เป็นอย่างที่เราพูด ให้โยมทำไปก่อน พอเขาเริ่มทำเห็นไหม พอเริ่มทำ พอเขาเริ่มทำไปเขาเห็นแล้ว เขาเห็นปรากฏการณ์แล้ว แต่เขาคิดว่าแค่นี้เองไง โอ๊ยตาย นี่มึงยังไม่ทำอะไรเลยนะ ยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรเลย ต้องไล่ตามไป เมื่อวานเราท้าเลยนะ บอกโยมกลับไปทำ เรานั่งอยู่นี่ โยมกลับไปทำมา ไล่ตามความคิดนี้เข้าไปอีก ความคิดที่มันเป็นปรากฏการณ์

ถ้ามีสตินะ พอปรากฏการณ์มันเกิดขึ้น ปรากฏการณ์มันผ่านไป ธรรมชาติมันผ่านไปแล้วมันจะเห็นเรายืนอยู่ แต่นี่มันไม่มีเรายืนอยู่ไง อย่างเช่น ฝนตก ฟ้าร้อง ใครเป็นคนยืนดูมัน เราใช่ไหม เราเป็นคนยืนดูมัน ถ้ามีสติปั๊บนี่มันจะมีตัวจิตไง ตัวจิตเป็นผู้รู้การเกิดดับ ตัวจิตตัวนี้คือสัมมาสมาธิ ตามเข้าไปเรื่อยๆ ตามเข้าไปเรื่อยๆ จะเห็น ตามเข้าไปจนตัวเองรู้ แล้วพอเห็นแล้วเขาก็ถามต่อ แล้วที่หลวงพ่อพูดว่าอาการของจิต จิตอาการของจิต มันเป็นอย่างไร จิต จิตอาการของจิต

เวลาพูดนี่นะเราต้องพูดอย่างนี้ก่อน ครูจะเข้าใจ เราจะสอนอนุบาลใช่ไหม ต้องให้อนุบาลเข้าใจถึงตัวอักษรก่อนใช่ไหม แล้วเราค่อยๆ มาสอนประถมใช่ไหม มาสอนต่อไป ทีนี้มาพูดว่า แค่ทำสัมมาสมาธิคือทำปัญญาอบรมสมาธิ แล้วกับจิตเห็นอาการของจิต มันเป็นคนละส่วนกันไง มันเป็นขั้นเด็กอนุบาล ขั้นประถม ขั้นมัธยม มันเป็นคนละชั้นกัน แต่เวลาคนฟังปั๊บ มันจะเอาตั้งแต่อุดมศึกษา กับอนุบาลมาเรียนพร้อมกันไง

อ้าว หลวงพ่อพูดมาสิต้องให้เข้าใจสิ อ้าว กูจะสอนมึงได้อย่างไร พื้นฐานมึงไม่มี เวลาฟังธรรมะกัน พวกนี้คิดกันอย่างนั้นไง เพราะคำพูดทีเดียวเห็นไหม ก็เหมือนกัน  ไก่ ก็คือ  ไก่ใช่  ไก่นั้นอนุบาล แต่  ไก่อุดมศึกษานั้นเขา  ไก่เขาผสมเป็นคำโน่นแล้ว มันคนละเรื่องกัน ฉะนั้นคำว่าจิตเห็นอาการของจิต มันมีอีกขั้นตอนหนึ่ง แต่คำว่าปัญญาอบรมสมาธิเป็นขึ้นพื้นฐาน อีกขั้นตอนหนึ่ง

การปฏิบัติมันมีขั้นตอนนะ มันมีพื้นฐานของจิต มันจะพัฒนาเป็นชั้นๆๆ ขึ้นมาเห็นไหม แล้วเราบอกว่ามรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด เวลามรรคหยาบเห็นไหม มรรคหยาบก็บอก เราเขียน  ไก่เป็นแล้ว อนุบาล กูเขียน  ไก่ กูเก่งที่สุดในโลกเลย กูเขียน  ไก่ กูเก่งที่สุดในโลกเลยนะ กูแค่นี้ล่ะ มรรคหยาบ เราเขียน  ไก่ได้ เราขั้นอนุบาลเราทำได้ มรรคหยาบ พอเรายึดมั่นว่าเรารู้เราเป็น มรรคละเอียดไม่เกิด เราจะเดินต่อไปไม่ได้ เพราะเราไม่ทิ้ง

เราเขียน  ไก่ได้ อู้ยเขียนได้ แล้วก็เป็นความชำนาญแล้วเขียนได้แล้ว ปัญญานะความเข้าใจแล้ว มันไม่ต้องเอามาเขียนเป็นตัว  ไก่หรอก มันอยู่ในสัญชาตญาณของเรา เราเขียนเมื่อไร่ก็เป็น  ไก่เมื่อนั้นใช่ไหม พอเขียนเมื่อไหร่ก็ พอเรารู้เรื่องอนุบาลแล้ว มันก็รู้อยู่เต็มอกแล้ว แล้วมันก็ต่อไปสิ ต่อไปสิ สิ่งนี้มันเป็นพื้นฐานแล้วไง ตัวอักษรทุกอย่างเรารู้หมดแล้ว เราจะผสมคำอย่างไร เราทำต่อไปได้แล้ว นี่มรรคจะเกิดไปเรื่อย เกิดไปเรื่อย ฉะนั้นสิ่งใดรู้ทั้งดีและชั่ว ต้องทิ้งให้หมด วางให้หมด แล้วเดินต่อไป เดินต่อไป เดินต่อไป

เวลาพูดปั๊บเขายังติดของเขาอยู่ เขาบอกต้องเป็น ฌาน  ฌาน  บอกไม่ใช่ฌาน ถ้าเอาคำว่าฌานนะ เอาคำว่าฌานมันจะมรรคหยาบมรรคละเอียด ฌาน  ฌาน  พอบอกฌาน ๒ ปั๊บ เราก็บอกเราศึกษาใช่ไหม วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตารมณ์ แค่นี้เป็นอารมณ์ของฌาน เราก็จะพยายามสร้างอารมณ์มันก็เหมือนกับน้ำเลย น้ำผสมสิ่งใดให้เป็นน้ำไอ้นั่น ไอ้นี่เหมือนกันต้องผสมให้ได้อย่างนั้นหรือ แล้วเราจะทำอย่างนั้นตลอดไปไหม นี่เหมือนกัน ใจไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ใจมันไม่เป็นอย่างนั้น เราบอกว่า เรื่องของคำว่าฌานนะวางไว้ เพราะคำว่าฌาน มันเป็นความสับสน เป็นความสับสนของเขา

แล้วเวลาคำว่าฌาน ถ้าคนเป็นอย่างหลวงตา เวลาใครพูดเรื่องนี้ท่านจะพูดเลย ไอ้ฌานไอ้แชน อย่ามาพูดกับเรานะ ไอ้ฌานไอ้แชน เพราะคำว่าฌานสมาบัติต่างๆ มันเป็นจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนที่อยากได้ เพราะคำว่าได้ฌานสมาบัติ แล้วมันจะมีหูทิพย์ ตาทิพย์ มันอยาก ทุกคนอยากจะเป็นผู้วิเศษ ทุกคนอยากมีความรู้พิเศษ โดยสัญชาตญาณของจิต ทุกคนอยากรู้อะไรพิเศษกว่าคนอื่น ถ้าทุกคนอยากรู้อะไรพิเศษกว่าคนอื่น ตัวนี้เป็นตัวกระตุ้น ฉะนั้นคำว่าฌานๆ นี่มันจะไปกระตุ้นกิเลสของทุกๆ คน

ฉะนั้นการปฏิบัติแล้วมันเริ่มต้น ต้องปิดกั้นกิเลสของตัวเองก่อน ว่าอย่าให้แลบออกมา อย่าให้กิเลสมันออกหน้า ฉะนั้นการปฏิบัติของเรา คำว่าฌานคำว่าอะไรต่างๆ ไม่ต้องการ ไม่ต้องใช้มัน แต่เราต้องการความสงบของใจ ความสงบของใจ เราทำความสงบของใจเข้ามา แล้วพอมันได้ขึ้นมาแล้วนะ ไอ้เรื่องฌานสมาบัตินะ เราจะบอกว่า สิ่งที่เป็นอำนาจวาสนาบารมีของคนทุกๆ คน มันอยู่ในใจ

เมล็ดพันธุ์พืช เมล็ดพันธุ์มันเก็บไว้ เก็บไว้ทุกๆ อย่างเวลามันโตขึ้นมา มันจะออกมา ต้นไม้ทุกอย่างมันจะออกจากเมล็ดพันธุ์ ความดีความชั่ว อำนาจวาสนาบารมีของเรานะ อยู่ในภวาสวะ อยู่ในภพ อยู่ในฐีติจิต อยู่ในปฏิสนธิจิต อยู่ในนี้หมดเลย แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นไปแล้ว ถ้าถึงที่สุดแล้วมันจะเบ่งบานออกมา เมล็ดพันธุ์ลงดินแล้วมันจะงอกเป็นต้นขึ้นมา

ถ้าเราทำความดีขึ้นมาแล้วนะ ไอ้ตัวในหัวใจนี้มันจะออกมา ออกมาเด็ดขาด แต่นี่มันยังไม่ถึงเวลาเห็นไหม เหมือนคนโง่เลย เอาเมล็ดพันธุ์มาก็เอามีดผ่าเลยต้นไม้อยู่ไหนวะ ไม่เจอหรอก มึงผ่าเมล็ดพันธุ์เท่าไหร่มันก็ไม่มีต้นไม้หรอก ไม่มี จิตยังไม่เป็นเลยนะ อยากเป็นผู้วิเศษไง อยากรู้อยากเห็นไง มันไม่ได้อะไรหรอก ฉะนั้นเราไม่ต้อง.. ครูบาอาจารย์ถ้าท่านเป็นนะ ท่านจะบอกเลยมันเป็นเอง ต้นไม้นะลงไปที่ดินแล้วนะ รดน้ำพรวนดินเดี๋ยวมันจะงอกขึ้นมา มันจะโตขึ้นมา มันจะรดน้ำพรวนดินนะ มันจะโตผลมันออกที่ปลายนู้น ผลไม้ไปออกที่ปลายนะ แต่เรารดน้ำที่โคนต้นนะ รักษาจิตนะ เดี๋ยวมันพัฒนาขึ้นมานะ มึงจะเห็นของมันเลย

นี่คนไม่ปฏิบัติไม่เข้าใจตรงนี้ ไม่เข้าใจตรงนี้ แล้วจะปฏิบัติเห็นไหม เวลาพูดว่าละเอียดๆ นะ พูดธรรมะพระพุทธเจ้า ต้องเป็นอย่างนี้ คือว่าพูดอะไรก็นี่เป็นมะม่วงไง นี่น้อยหน่าไง แต่เมล็ดมันอยู่ไหน แล้วมันจะลงโคนดินอย่างไร แล้วมันจะงอกอย่างไร นี่มันต่างกันตรงนี้ ที่บอกว่าละเอียดนะ ละเอียดสิ ก็เขาไปสวนจตุจักรไง ไปที่ร้านผลไม้ไง ดูสิ เอ็งจะชี้เอาสิ อะไรก็ได้ นี่ไงผลไม้ทุกชนิดเลย แต่มันมาจากไหน 

 คำว่ามาจากไหน มันเหมือนกับการปฏิบัติ ที่หลวงตาพูด เวลาพูดเวลาใครเทศน์ เห็นไหม ถ้าเทศน์เป็นปริยัตินี่ มันก็เหมือนไปที่ตลาดไทไง เช็คเลย ผักไอ้นี่ไอ้นั่น นี่ๆ ผลไม้ไอ้นั่น โอ้ฮู พระองค์นี่เก่งมาก นี่อภิธรรมไง อภิธรรมนะบอกเลยนะ ผลไม้ชนิดนี้ควรทำอาหารอย่างนี้ ผลไม้ชนิดนี้มีรสชาติอย่างนั้น ผลไม้ชนิดนั้น แล้วปลูกอย่างไรล่ะ ปลูกอย่างไร ปลูกอย่างไร รดน้ำพรวนดิน ดูแลรักษาอย่างไร มันถึงออกมาเป็นผลไม้ชนิดนี้ นี่ภาคปฏิบัติอยู่ตรงนี้

ฉะนั้นบอกเวลาคนที่ไม่เป็น เวลาพลาดๆ ตรงนี้ไง พลาดตรงที่ไม่รู้ว่าเวลาปลูกมันไม่เป็น เห็นแต่ผลมันอยู่ที่ตลาดไทไง โอ๊ย ละเอียดลึกซึ้ง ลึกซึ้งสิ เพราะอะไร เพราะเราก็กินใช่ไหม มะม่วงกูก็รู้จักมะม่วง แต่กูไม่เคยปลูกมะม่วง พอมะม่วงมา ใช่ มะม่วงอร่อยด้วย หวานด้วยนะ เอาทุเรียนมา โอ๊ย ทุเรียนยิ่งดีใหญ่เลย ทุเรียนยิ่งน่ากินใหญ่เลย โอ๊ย อาจารย์นี่ละเอียดมากเลย อ้าว เขาไปซื้อมาจากตลาดไท เขาไม่ได้ปลูกนะมึง ไอ้พวกเราต้องปลูก ต้องพรวนดิน ไอ้นี่พอพรวนดินปั๊บ อัตตกิลมถานุโยค ทำตัวให้ลำบากเปล่า ไปซื้อตลาดดีกว่า ไปซื้อตลาดนี่มันเป็นเรื่องของโลกนะ

แต่เราต้องทำของเรา เพราะคนที่ประพฤติปฏิบัตินะ แม้แต่พระพุทธเจ้าบอกไว้เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านจะเน้นตรงนี้มากเลย บอกว่าเห็นไหมพระพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง พระพุทธเจ้าเป็นคนบอกทาง พวกเราต่างหากเป็นผู้ขวนขวาย เราต้องขวนขวายดำเนินกัน นี้พอเราขวนขวายดำเนินกัน เหมือนนะ เหมือนตักอาหารใส่ปาก ใครกินได้มากนะ มันก็อิ่มท้องคนๆ นั้นนะ เหมือนกัน การนั่งสมาธิภาวนา มันเหมือนตักอาหารใส่ปาก ของใครของมัน เราต้องพยายามตักใส่ปากใส่ท้องเรา เรามีความเพียรของเราเป็นของเรา อาหารของคนอื่น มันอยู่ในกระเพาะของคนอื่น มันไม่ได้อยู่ในกระเพาะของเรานะ

ฉะนั้นมันอยู่ที่ความเพียรของเราเท่านั้น ไอ้อย่างอื่นมันเป็นเรื่องของคนอื่นเขา เราต้องทำของเรา ถ้าเป็นความจริง เวลาเขาปฏิบัติมา เขาได้ผลมาเลย แล้วแหม องอาจกล้าหาญมากนะ หลวงพ่อนะผิด หลวงพ่อว่ามันดับได้อย่างไร เราฟังแล้ว โอ้โฮ กูเจอของจริงแล้วโว้ย คิดในใจนะ กูเจอของจริงแล้วโว้ย เราบอก เออ เอ้า โยมนะถูก โยมนะถูก แล้วเราก็อธิบาย พอเราอธิบายปั๊บก็หัวเราะเลยนะ พออธิบายจบหัวเราะแหะๆๆๆ เออ ต้องไปทำอีกไง

เหมือนเราสามล้อถูกหวยไง พอเจออะไรเข้านะ มันก็ว่าสุดยอด  เพราะไม่มีครูมีอาจารย์นะ เราไปได้อะไรมาปั๊บนะ เราจะตื่นเต้นไปกับเรา แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ใช่ เราได้จริงๆ นะ สามล้อเหมือนกัน ถูกหวยจริงๆ ถูกหวยแล้วนะ เอ็งต้องรักษาหวยไว้ดีๆ นะ แล้วเดี๋ยวเอ็งจะได้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ ไง จากสามล้อนี้เดี๋ยวมันจะเป็นเศรษฐี ถ้าสามล้อถูกหวยใช้มันไม่เป็นนะ มันเสื่อมหมดนะ เพราะเราไม่รู้เรื่องอะไรของมัน แต่เวลาปฏิบัติเป็นอย่างนี้ ในวงปฏิบัติเป็นอย่างนี้

โธ่ หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดเองว่าหลวงตาท่านบอก หลวงตาท่านพูดมากระซิบกับหลวงปู่เจี๊ยะ บอกว่า “ท่านเจี๊ยะ  หลวงปู่บัว ท่านเป็นนักพิจารณากาย นักกายวิภาค” หลวงปู่เจี๊ยะเล่าประจำ นักกายวิภาค ทำไมหลวงปู่เจี๊ยะกับหลวงตาท่านรู้ล่ะ ทำไมท่านพูดถึงหลวงปู่บัวล่ะ ขณะที่หลวงปู่บัวท่านกำลังกายวิภาค ท่านกำลังพิจารณากายอยู่ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าผู้ปฏิบัติถึงที่สุดแล้ว มันมีขั้นตอนของมัน แต่นี้คนปฏิบัติตรงนี้ปั๊บ มันอยู่ตรงนี้ จะบอกกันได้เลย

อย่างเราเห็นเด็ก หนูเรียนอะไร อนุบาล หนูเรียนอะไร ประถม หนูเรียน แล้วเราเป็นคนสอนทำไมมันจะไม่รู้ ในวิชาการของอนุบาลมันคืออะไร ในตำราของประถมมันคืออะไร ในตำราอุดมศึกษามันคืออะไร แล้วถ้ามันเรียนมานะ มันต้องผ่านตำรานี้มา นี้มา นี้มา ถ้ามันไม่ผ่านตำรานี้มา นี้มา มันก็เรียนอนุบาลอยู่นั่นแหละ มันก็ซ้ำอนุบาลอยู่นั่น แล้วเราเป็นครูจะรู้เลยนะ ถ้ามันพูดถึง หนูเขียน  ไก่ได้ ตบมือใหญ่เลย อนุบาล  หนูเขียน  ไก่ได้ ดูสิ ตบมือกันใหญ่เลย โอ๊ย ตบมือใหญ่เลย ครูรู้นะ ครูรู้ เออ นี่เรียนอยู่แค่นี้ ไอ้นี่เรียนแค่นี้ ไอ้นี่เรียนแค่นี้

ในภาคปฏิบัติ ในภาคปฏิบัติตรงนี้สำคัญมาก สำคัญมากเพราะอะไร เพราะถ้าไม่ผ่าน เวลาพูดก็ตลาดไทไง เวลาพูดๆ ตลาดไทนะ ผลไม้ทุกชนิด แต่ไม่รู้ถึงผลไม้แต่ละชนิดปลูกอย่างใด น้อยหน่า ชมพู่ที่เขาออกมาเขาต้องห่ออย่างไร ถ้าไม่ห่อแมลงเต่าทองมันจะไข่ มันจะเสียหายอย่างใด กว่าเราจะได้กิน เขาห่อเขาถนอมมานะ เขาเอาหนังสือพิมพ์ห่อไว้เลย กลัวแมลงวันมันจะไปไข่ ถึงเวลาเขาต้องเก็บมาขายให้เรา เราไปเห็นแต่ชมพู่ผิวสวยๆ ใช่ไหม ไม่รู้ว่ามันมาอย่างใด แต่ถ้าเราเป็นครู นักเรียนกับครูนี่จะรู้เลยมันมาอย่างใด มาอย่างใด มันต้องมีที่มา

เราถึงพูดไง บอกเราไม่เชื่อตั้งแต่ที่เขาบอกสติไม่ต้องฝึก อย่างไรก็ไม่ใช่ เพราะนี่คือพื้นฐาน สติสำคัญมาก หลวงตาขึ้นทุกคำเลย สติก่อน สติก่อน สติก่อน สติเป็นที่ต้องการในทุกสถาน เป็นที่ต้องการทุกเมื่อ แม้แต่ปุถุชน โทษนะ แม้แต่สัตว์ สัตว์สติมันดีนะ มันกัดกัน อย่างสุนัขมันกัดกัน ใครสติดีใครชั้นเชิงดีกว่า มันชนะทุกตัว สติทุกๆ คน ทุกๆ สัญชาติ ต้องการทุกเมื่อ สติไม่ต้องฝึกมันจะเกิดเอง โอ่โอ่ ไม่เชื่อตั้งแต่ทีแรก เพราะนี่คือหัวใจเลย

ก็เหมือนกับการศึกษานี่ ไม่ต้องมีตำราเลย เรามานั่งท่องปากเปล่ากัน เด็กคนนั้นมันจะเป็นอย่างไร มันก็ได้ก็ได้แค่นั้นนะ แต่ทางวิชาการเขาต้องมีเครื่องมือ เขาต้องมีทุกอย่างเพื่อดำเนินของเขา นี่การปฏิบัตินะ ความเห็นของเขา แล้วนี้พออย่างนี้ไป คำว่าสะเทือน สะเทือนมาก เมื่อวานมันสะเทือนมาก เขาบอกว่าไปที่ไหนเพราะซีดีของเขามันจะแจกเยอะมาก เขาได้มาเป็นตั้งๆ เลย โอ๋ เขาฟังติดใจกันมากเลย เขาพูดเองนะ แต่มาฟังซีดีหลวงพ่อเข้าใจแล้ว ทิ้งหมดเลย ทิ้งหมดเลย โอ่ เราฟังแล้วโอ่ สะเทือน สะเทือนเยอะมาก

๑. สะเทือนกรณีนี้หนึ่ง ๒. สะเทือนเพราะว่าถ้าปกติเรานี่นะ ถ้าเรานี้ไม่หวั่นไหวสิ่งใดๆ นะ เราจะนั่งสบายใจเลย แต่ตอนนี้พูดที่ไหนก็คนนั้นประกันเรา คนนี้ประกันเรา สะเทือน คนนั้นรับประกันเรา คนนี้รับประกันเรา คนนู้นมาหนุนเราเห็นไหม

ถ้า..คนอย่างเรา คนอย่างไอ้เจ๊กหงบ ใครต้องมารับประกัน มีแต่คนด่า กูมีแต่คนด่า กูไม่มีใครมาประกันกูเลยนะ กูพูดคำไหนมีแต่คนต่อต้าน มีแต่คนติฉินนินทาทั้งนั้นเลย ไม่มีใครเคยประกันกูเลยนะ เออ แล้วต้องให้ใครไปประกัน แต่เพราะข่าวมันมาเรื่อยๆ นะ คนนู้นก็รับประกันว่าดี คนนี้ก็รับประกันว่าดี สะเทือน

วงนอก คือโยมที่มาหาเขาบอก แต่วงใน ตัวเขาเองพูด คำพูดนี่มันฟ้อง คำพูดที่เขาพูดฟ้องมาหมดเลยว่า เรรวนมาก เรรวนมาก ถ้าไม่เรรวนนะ อย่างพวกเรานี่ไม่ทำอะไรผิดพลาดเลยนี่ เราไปนั่งที่ไหน ยืนที่ไหน เราจะมั่นใจขนาดไหน แต่ถ้าเราไม่แน่ใจเรานะยืนที่ไหน โอ้โอ๊ย สั่นพั่บๆๆๆๆ เลย ผู้ต้องหา มันเรรวนไง โธ่ ของอย่างนี้มันวัดจากใจได้นะ แต่จริงๆ แล้วไม่ค่อยพูด เราไม่อยากพูดเพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราสะเทือนใจ เราสะเทือนใจในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า

ธรรมวินัยพระพุทธเจ้าบอกว่า ในอาบัติของพระ ของสงฆ์ ในวงของสงฆ์ วงจำกัดของสงฆ์ ไม่ให้เอาออกมาบอกพวกฆราวาสเขา เพราะมันจะทำให้ศาสนานี้มันคลอนแคลน เรานี่นะเป็นคนมีสติสัมปชัญญะพร้อม เพราะธรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าอาบัติหนัก เรื่องในสังคมของสงฆ์ ห้ามเอามาพูดให้กับคฤหัสถ์เขาฟัง เพราะทางคฤหัสถ์เขาจะไม่มั่นใจในศาสนา เวลาเราเทศน์สอนกัน เราพูดให้คฤหัสถ์ เขามั่นใจในศาสนาใช่ไหม เราปลูกศรัทธาเขาใช่ไหม เราต้องให้เขาศรัทธาเชื่อมั่นในศาสนาใช่ไหม แต่เราเอาเรื่องนี้มาพูด ให้พวกเขาสั่นคลอนในศาสนา อย่างนี้มันสะเทือนใจไหม นี่ธรรมะพระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้เลยนะ

เวลาเราพูด เราสะท้อนใจเรามากนะ สะท้อนใจมาก แต่ที่พูดออกมา เพราะเห็นว่ามันทำให้มีความเสียหายเหมือนกัน ถ้าไม่พูดออกมา มันก็ไปในทางที่แบบว่า ไปทำลงทุนลงแรงทุกอย่างเลย แล้วสูญเปล่า มันก็ทำให้เราสะเทือนใจอีก ถ้าเราเชื่อมั่น แล้วเราทำตามที่เราเชื่อของเราไป ทั้งชีวิตทำไปจนเต็มชีวิตเลย ทำจนตายไปแล้วนะ ตายไปแล้วเพิ่งมารู้ว่ากูไม่ได้อะไรมาเลยละ อันนี้มันก็สะเทือนใจเรา เราอยู่ระหว่างตรงนี้ไง อยู่ระหว่างเขาควาย เขาควายว่าเรื่องของพุทธศาสนา เรื่องของพระไม่ควรเอามาพูดกับคฤหัสถ์ แต่ในเมื่อพระที่มันไม่เป็นพระ พระที่เอาสิ่งที่ไม่เป็นคุณธรรม ออกมาพูดให้โยมฟัง ออกมาพูดสั่งสอน ให้ทำกันประพฤติปฏิบัติกันโดยที่ไม่มีผลตอบแทน 

 แต่ไม่มีผลตอบแทน มันถ้าพูดถึงครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ มันก็เป็นกรรมของสัตว์ เพราะสัตว์เขาเชื่อกัน มันก็ต้องปล่อยให้เขาได้ทดสอบ แล้วถ้าเขาไม่ได้ผลแล้ว มันก็เรื่องของเขา นั่นมันเรื่องของเขา ก็เขาตายไปแล้วมันก็เรื่องของเขาไง แต่นี้เพราะเรารู้ เราว่าเรารู้ เรายืนประกันว่าเรารู้ ว่าผิด แล้วเราก็อุตส่าห์เอาตัวเรานี่ออกมาแลก แลกทุกๆ อย่างเลยนะ ทั้งๆ ที่อยู่เฉยๆ ก็พอใจ อยู่เฉยๆ ก็สบายอยู่แล้ว อ้าว จริงๆ นั่งอยู่ อ้าว พวกเอ็งโดนหลอกก็หลอกไปสิ กูนั่งดู กูสบาย อ้าว กูไม่โดนหลอก อ้าว กูรู้ แล้วเกี่ยวอะไรกับกู

เห็นไหมถ้าเราไม่พูดมันก็ไม่เสียหาย สำหรับตัวเรา เราไม่เสียหาย เพราะกูไม่เชื่ออยู่แล้ว อย่างไรกูก็ไม่เชื่อ จ้างกูเท่าไหร่กูก็ไม่เชื่อ แต่นี่เราออกมาพูดเห็นไหม ออกมาพูดเพื่อใคร มันพูดแล้วมันสะท้อนใจนะ มันสะท้อนใจ เพราะถ้าไม่เข้าใจ อย่างที่เมื่อวานเราพูดเลย เขามาทีแรกเลยเราบอกว่า หลวงตาท่านสอนไว้ บอกว่าอย่าเป็นโรคตาแดง เห็นใครดังก็อิจฉาเขาหมดเลยนะ ตาแดงอีกแล้ว ตาแดงอีกแล้ว ก่อนจะคุยกับเขาหัวเราะใหญ่เลย บอกจะคุยกันก่อนเราต้องออกตัวก่อนไง นี่ไม่ใช่ตาแดงนะ ไม่ได้ดำน้ำมาตาไม่แดง

คือไม่ได้อิจฉาใคร ตาแดงหมายถึงอิจฉาตาร้อน เห็นเขาได้ดีแล้วทนไม่ได้ เห็นเขาได้ดีแล้วก็อิจฉาตาร้อนเขา อยากดีกว่าเขา เราพูดบ่อยคนอยากดังต้องตีคนดัง เขาดังมากนะ คนอยากดังต้องตีคนดัง ถึงจะดังตามไง แต่นี่ไม่ใช่ตี เรื่องของเขาเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา แต่เราพูดถึงสัจจะความจริงอย่างนี้ เพราะมันทำไปแล้วมันจะไม่ได้ผล มันไม่ได้ผล มันไม่มีผลหรอก โธ่ มันมีผลได้ยังไง ในเมื่อใช้สติสัมปชัญญะไป เห็นไหม ดูสิ เขาบอกว่ามีสติขึ้นมา แล้วที่ว่าจิตดวงหนึ่ง จากจิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วที่เขาพูด ว่าจิตของเขาเป็นดวง ๑๐๘ ดวง แล้วของเราบอกจิตหนึ่ง เขาบอก เขาพูดเลยเห็นไหม เขาบอกถ้าจิตหนึ่งก็เป็นปูเฉฉวนหรือเห็นไหม จิตหนึ่ง จิตหนึ่ง จิตหนึ่ง

อย่างพูดเมื่อกี้ ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิเห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิเป็นจิตหนึ่งเห็นไหม จิตเห็นอาการของจิต จิตหนึ่ง จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตไม่เห็นอาการของจิต ใครจะเป็นคนวิปัสสนา ใครจะเป็นคนชำระล้าง อันนี้เวลาพระพุทธเจ้า เราไม่ได้เถียงนะ ธรรมพระพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นจริงๆ จิตมี ๑๐๘ ดวงในอภิธรรม ๑๐๘ ดวงเห็นไหม จิตที่ยังไม่ยกขึ้นภวังค์ ภวังคบากจะเป็นอารมณ์ไม่เป็นจิต ยังไม่เป็นดวง คือตัวรูปภพไง นี่เป็นความละเอียดของพระพุทธเจ้า

แต่ของพวกเรานี่นะของคนที่รู้ เอ็งก็เห็นในจิตเป็นหนึ่งนั่นนะ พอจิตหนึ่งมันออกเสวยอารมณ์ ออกรับรู้มันจับได้ พอมันจับได้ เราจะบอกว่าถ้าเราไปเห็นไปรู้เข้า มันจะไม่ละเอียดลึกซึ้งเหมือนพระพุทธเจ้าหรอก แต่ แต่มันเข้าใจได้ไง ใครปฏิบัติถึงตรงนี้ปั๊บ จะเข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าได้ แต่จะไม่เห็นเหมือนพระพุทธเจ้า แต่เข้าใจได้

เหมือนกับเห็นไหม ดูสิ ทฤษฎีสัมพันธ์(สัมพัทธภาพ) อย่างทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์เขาคิดค้นไว้ แล้วเราไปทดสอบ เราทำได้เหมือนไหม เหมือน ทำได้ประสบความสำเร็จเหมือนกัน แต่ แต่เราจะไม่ละเอียดลึกซึ้งเหมือนเจ้าของทฤษฎี เหมือนกัน แล้วนี่ก็บอกว่าถ้าจิตเป็นกี่ดวงๆ จิต อาการของจิต อาการของจิตนะที่ว่าเป็นดวงๆ อาการของจิต ฉะนั้นเขาบอกว่าจิตดวงหนึ่งดับไปแล้ว จิตดวงหนึ่งมันไม่ใช่ มันไม่ใช่เพราะอะไร เพราะมันขาดตอนกัน

อะไรก็แล้วแต่นะเหมือนไฟฟ้า ไฟฟ้าถ้ามีคัตเอ๊าท์หรือเราปิดไฟ ไฟจะมาได้ไหม จิตพลังงานของมันอยู่นี่ใช่ไหม แล้วเวลาวิปัสสนาไป มันจะต้องมีพลังงานเข้าไปชำระ เหมือนต้องไปชำระถึงภพเลย ถึงตัวฐีติจิตเลย เพราะกิเลสมันอยู่ที่นี่ ฉะนั้นเวลาจิตมันสงบแล้วนะ เป็นจิตหนึ่งใช่ไหม เวลามันเห็นอาการของจิต จิต พลังงานของมันออกมา แล้วเวลามันวิปัสสนาไปเหมือนกระแสไฟฟ้า ที่มันเข้าถึงกัน เวลาไฟฟ้าช็อต มันจะช็อตไปทั้งตัวเลยใช่ไหม เหมือนกัน พอพิจารณาไป พอมันสะเทือนใจไง ที่เราพูดบ่อย

เมื่อ ๒ วันนี้พระก็มา บอกว่าฟังซีดีเราเขารับไม่ได้หรอก แต่เห็นกายนี่ขนพองสยองเกล้าอย่างนั้นนี่นะ ผมไม่เคยเป็นเลยนะ พอเขาไปเป็นกลับมา เออ  เขาบอก โอ้โฮ โอ้โฮเลย เพราะอะไร คำว่าขนพองสยองเกล้า กระแสไฟฟ้าไง พอมันเห็นมันสะเทือนถึงขั้วหัวใจไง มันสะเทือนถึงกิเลสไง แต่นี่ของเขาไม่มีกันเลย เราถึงใช้คำว่าตัดรากถอนโคนได้ยินไหม เราจะบอกประจำว่าเขาตัดราก คือเขามีคัตเอ๊าท์ตัดตรงนี้ไง เขาไปดูกันที่จิตนี้ไง เขาไปดูที่ความคิดไม่ใช่ดูที่จิต เขาไปดูที่ความคิดไง

แต่ตัวจิตนี่ แต่ถ้าพูดถึงถ้าปัญญาอบรมสมาธิ มันเข้าไปถึงจิตตลอด ถึงจิตตลอด แล้วพอเวลาจิตหนึ่ง จิตหนึ่งพลังงานมันเต็มที่มันแล้ว มันเสวยอารมณ์ธรรมชาติของมัน จะกี่ดวง กี่ดวงมันเสวยอารมณ์ เสวยอารมณ์คืออะไร คือธรรมชาติของพลังงานมันต้องคลายตัว ธรรมชาติของจิตมันต้องคิด พอธรรมชาติของจิตมันคิด ธรรมชาติของมันต้องคิด แต่ธรรมชาติของมัน มันคิดโดยสัญชาตญาณมันตลอดใช่ไหม แต่พอเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้าไป จนจิตมันสงบ มันเป็นเอกเทศ มันสงบเพราะมันเป็นสัมมาสมาธิไง แล้วมันเสวยอารมณ์ พอมันเสวยอารมณ์ มันมีสติมาพร้อม มันมีปัญญามาพร้อมไง มาพร้อมเห็นไหม มาพร้อมกลับไปที่ความคิด มันพร้อม

กับสัญชาตญาณ คือมันไปแบบไม่มีใครดูแลมัน คือไม่มีธรรมะ เป็นสัญชาตญาณ แต่พอมีธรรมะคือจิตสงบแล้ว เราไปควบคุมจิตเราแล้ว แล้วจิตออกทำงานโดยที่เรารู้ จิตออกทำงานโดยที่เรารู้เราเห็น เราเป็นผู้พิจารณา วิปัสสนาเกิดตรงนี้ไง วิปัสสนาเกิดตรงนี้ พอวิปัสสนาเกิดตรงนี้ พอมันออกรู้ ออกรู้ มันตามไป พอมันตามไปปัญญามันตามไป พิจารณาบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า มันก็ตทังคปหานมันก็ปล่อย ปล่อยก็หดกับมาที่มัน ปล่อยก็มีความสุขมาก ปล่อยแล้วมีความสุขมาก ปล่อยบ่อยครั้งบ่อยครั้งเข้าจนสมุจเฉทปหาน ขาดพั้บ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ จิตเป็นจิต กาย กายคืออะไร กายก็ กายก็สุ่มกับปลาไง กายกับจิตมันอยู่ด้วยกัน พอมันขาด กายกับจิตมันแยกไปออกจากกัน

ถ้ามันมีอย่างนี้นะ คำพูดมันจะไม่เป็นอย่างที่เขาพูดเลย แต่นี่ที่พูดอย่างเมื่อกี้ มันสะท้อนใจตรงนี้ไง มันสะท้อนใจที่ว่าถ้าไม่พูด เราพูดนะบอกว่า จมูกเขาไว้หายใจนะ จมูกเขาไม่ได้ให้ไว้สนตะพาย แล้วเวลาพูดอย่างนี้ก็พูดมาเพื่อสังคมไทยไง ที่พูดพูดเพื่อสังคมชาวพุทธนะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าธรรมวินัย บางอย่างเขาอ้างกันตรงนี้ว่าธรรมวินัยบอกว่า เรื่องของพระเรื่องของเจ้า เอาไปพูดข้างนอกมันเป็นอาบัติ มันไม่ถูกต้อง มันต่างๆ นี่ ไอ้พระก็เลยสนุก สนุกโกหกไง สนุกหลอกลวงกันไง

นี่พอเรามาพูดบ้าง ว่าเรานี่แหกคอกไง เขาถึงบอกว่า พระสงบนี่ทำลายประเพณีวัฒนธรรมหมดเลย ประเพณีแมลงวันไม่ตอมแมลงวัน แล้วไอ้เจ๊กนี่มันตอมทั่วเลย ว่าเราทำลายประเพณี แต่คำว่าประเพณี มันเป็นประเพณีนะ แต่ผลที่ตอบรับ ผลที่ได้ เราถึงบอกเราก็เสียสละ ชาตินี้เป็นพระ พระจะไม่คบเลยก็ช่างมัน พระทั้งประเทศไทยเขาจะไม่คบ เพราะมันชอบตอมเขา ก็ให้มันคบตัวเองก็ได้ คบตัวเองก็ได้ อยู่คนเดียวนี่แหละ พระเขาไม่คบกันแล้ว มันไม่รักษาน้ำใจใครเลย ผิดว่าตามผิด ถูกว่าตามถูกนะ แล้วเราเก็บของเราไว้

ถึงว่าเมื่อวานเขาพูดถึงปรากฏการณ์ คิดถึงเห็นใจเขาคือพวกนี่ปฏิบัติเขาดูจิตกันมา แล้วพอเขามาฟังซีดีเราแล้วก็ทดสอบแล้ว ความตกผลึกคือความเชื่อเดิม การดูจิตมันมีใช่ไหม แล้วเราพูดเราบอกจิตดับอย่างนี้ แล้วเขาบอกว่ามันเป็นไม่ได้ เพราะว่าความเชื่อเดิมเขามี แล้วพอเขาปฏิบัติเขามีตุ๊กตา คือมีประสบการณ์ อ้าว ในเมื่อความเชื่อเดิมเขามีใช่ไหม แล้วเขาทำด้วยใช่ไหมเขาก็มั่นใจใช่ไหม

เขาถึงมาหาเราเขาจะมาขี่เราไง เขาจะมาชี้ว่าเราผิด พอมาถึงก็ มึงฟังกูก่อนสิ มึงฟังกูก่อน เออ เอ็งทำมาถูกแล้ว แต่เอ็งต้องทำไปอีกอย่างนี้ อย่างนี้ นั่งเอ๋อเลย คิดว่าทำได้แล้ว วันนี้พระเจ๊กเสร็จกูแน่ๆเลย เพราะกูทำมาแล้ว แล้วพระเจ๊กนี่พูดโกหก จะมาเอาให้ตายคามือเลยนะ บอก เออ ถูก  เอ็งถูก เอ็งถูกแล้วล่ะ เอ็งถูกแล้ว แต่มันยังมีไปอีกนะ มันยังมีไปอีก เพราะนี่มันจุดเริ่มต้น มันเป็นการเริ่มการกระทำเฉยๆ บอกให้ทำไปนะ

เรากลับภูมิใจกับโยมนะ เราภูมิใจกับโยมมาก เพราะโยมทำแล้วโยมได้สัมผัส โยมได้มีความรู้สึก มีตุ๊กตามาคุยกับเรา เลยคุยกันง่ายไง ทีแรกพูดใหญ่เลยนะ พอเราบอก ฟังเราก่อนสิ ฟังก่อน พอเราพูดปั๊บ เอ๋อเลยนะ เงียบเลยนะ ทีแรกคึกคักเลย เห็นไหมหลวงตาบอก หลวงตาท่านพิจารณาของท่าน พอท่านทิ้งกายก็ไปหาหลวงปู่มั่น เห่าเลย เหมือนหมาจะกัดจะฉีก คนถ้ามันรู้มันเห็น มันองอาจ มันมั่นใจนะ เรานี่ไปสัมผัสอะไรมาจะมั่นใจมาก เพราะเราทำมาเองใช่ไหม อู๊ มาถึงฮึดฮัดใหญ่เลยนะ เออ ฟังก่อนสิ ฟังเราก่อน พอเราพูดก็เออเลย เอ๋อเลย

นี่ เห็นไหมในการปฏิบัตินี่สันทิฏฐิโก ปัจจัตตัง เราทำเถอะ เราทำของเราไปเรื่อยๆ แล้วพออย่างนี้ มันกลับเห็นไหม ผู้ที่ปฏิบัติเห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ เขาก็พูดที่ทำของเขา เขาก็มั่นใจของเขา เวลาเราตอบรับเขานะ เขาก็ยอมรับ เขาก็ยอมรับความจริง เพราะเขาก็ความจริง เราก็ความจริง แต่ความจริงมันค่อยๆ พัฒนาขึ้นไปๆ นี่ธัมมสากัจฉา แล้วเรียบง่าย เขาก็ยิ้มแย้มแจ่มใสกลับไป เราก็ดีใจ ดีใจที่แบบว่า เออเขาได้ทำ เขาได้สัมผัส แล้วมาคุยกันได้

ของจริงมันเป็นอย่างนี้ คือไม่ใช่บอกว่า ไม่รู้อะไรเลยนั่นละเอ็งเป็นโสดาบัน ไม่ใช่ ไม่รู้อะไรเลย นั่นละโสดาบัน ทำไม ก็เอ็งไม่รู้นั่นล่ะเป็น ถ้าเอ็งรู้ไม่ใช่ เพราะความรู้มันหยาบ อย่างนี้ไม่ใช่ ไม่รู้อะไรเลยนะ เออ โสดาบัน ไม่รู้อะไรเลยนะ นั่นล่ะโสดาบัน จริงๆ นะไม่รู้อะไรเลย ยิ่งโสดาบันเลยล่ะ เออ ตายห่า เออ ถ้าอย่างนี้ไม่ธัมมสากัจฉาแล้ว ธัมมสากัจฉาต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นความจริงอย่างนี้เพื่อประโยชน์เนาะ อ้าว ใครมีอะไรบ้าง ไม่มีจบเนาะ เอวัง